Shazam : Power of Hope

แล้วก็มาถึงเล่มที่สามในซีรี่ส์ฉลองอายุครบ 60 ปีของตัวละครเอกของดีซีคอมมิค
คราวนี้ถึงคิวของ กัปตันมาร์เวล หรือ ชาแซม กันบ้าง
แต่ก่อนเราจะเข้าไปถึงเรื่องราวในหนังสือ ผมอยากจะทำความเข้าใจที่มา
หรือเรื่องราวของตัวละครตัวนี้กันก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร

แรกเริ่มเดิมทีตัวละครตัวนี้มีชื่อว่า ”กัปตันมาร์เวล” โดยไม่มีปัญหาอะไร ทำไมน่ะเหรอ
ก็เพราะในขณะนั้นยังไม่มีสำนักพิมพ์การ์ตูนที่ชื่อว่ามาร์เวลน่ะสิ
ตอนนั้น สำนักพิมพ์มาร์เวลยังใช้ชื่อว่าไทม์ลี่ (Timely) อยู่เลย
เรื่องนี้เป็นการ์ตูนของสำนักพิมพ์ฟอว์เซ็ทท์ (Fawcett) ไม่ใช่ของดีซีแต่ประการใด
โดยเป็นผลงานสร้างสรรค์ของ C.C.Beck เป็นผู้วาดและ บิล ปาร์คเกอร์ เป็นผู้เขียนเรื่อง
ลงตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในนิตยสาร Whiz Comic ฉบับที่ 1
ออกวางตลาดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1940 ในชื่อกัปตัน มาร์เวล (Captain Marvel)
ส่วน ชาแซม นั้นเป็นชื่อของพ่อมดที่มอบพลังพิเศษให้แก่หนุ่มน้อยบิลลี่ แบ็ตสัน

หนังสือการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มน้อยกำพร้า บิลลี่ แบ็ตสัน
ที่วันหนึ่งเขาถูกพาไปยังถ้ำเร้นลับที่อยู่ลึกลงไปใต้สถานีรถไฟใต้ดิน ที่เรียกว่าศิลาแห่งนิรันดร์
ที่นั่นเขาได้พบพ่อมดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มากว่า 3,000 ปีแล้ว เขามีชื่อว่าชาแซม (Shazam)
อันเป็นชื่อที่เกิดจากการเอาชื่อของเทพเจ้า (และวีรบุรุษ) โบราณมาผสมกัน
โดยเขาได้พลังจากชื่อเหล่านั้น ดังนี้
ปัญญาแห่งโซโลมอน (Solomon)
กำลังแห่งเฮฮร์คิวลิส (Hercules)
ความอดทนแห่งแอตลาส (Atlas)
อำนาจแห่งเซอุส (Zeus)
ความกล้าหาญแห่งอะคิลิส (Achiles)
ความเร็วแห่งเมอร์คิวรี่ (Mercury)

ซึ่งเมื่อนำตัวอักษรแรกของทุกชื่อมารวมกัน ก็จะได้ชื่อของพ่อมดผู้นี้
และเมื่อบิลลี่ แบ็ตสัน เอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์นี้ (ชาแซม) บิลลี่ ก็จะกลายเป็นกัปตันมาร์เวล
ผู้มีพลังจากเทพเจ้าและวีรบุรุษที่เอาตัวอักษรมาผสมเป็นชื่อนี้ขึ้นมา

กัปตันมาร์เวลประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และด้วยฝีมือการเขียนของออตโต้ ไบน์เดอร์
ที่เดินเรื่องออกไปในแนวสนุกสนาน, ตลกขบขัน, เบาๆ เหมือนเทพนิยาย
เพราะในเรื่องมีทั้งตัวละครอย่างเสือพูดได้ที่แต่งตัวใส่สูท เพื่อย้ายมาอยู่ในเมืองเพราะเบื่อป่า
หรือผู้ร้ายที่มีชื่อว่า มร.ไมนด์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และรวบรวมวายร้ายของมาร์เวลมากมาย
เพื่อมาต่อสู้กับกัปตันมาร์เวล ซึ่งเมื่อเปิดเผยความจริงออกมาตัวจริงของ มร.ไมนด์ก็คือหนอน
ตัวเท่าหนอน และเป็นหนอนจริงๆ ที่ใส่แว่นตาและพูดได้

และด้วยเนื้อเรื่องอย่างนี้ที่อาจจะฟังดูพิลึกพิลั่นอย่างนี้ในยุคนี้ เรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
กัปตันมาร์เวลประสบความสำเร็จและขยายตัวออกไปอย่างมากมาย
เป็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ตัวแรกที่มีเรื่องราวแบบ ”Family”
คือมีตัวละครอื่นๆ ที่มีพลังแบบเดียวกันอยู่ด้วย
แนวคิดนี้เริ่มจากการปรากฏตัวของ กัปตันมาร์เวลจูเนียร์ ในปี 1942
ที่ตัวจริงคือ เฟรดดี้ ฟรีแมน เด็กหนุ่มที่ถูกกัปตันนาซี หนึ่งในวายร้ายคู่ปรับของกัปตันมาร์เวล
ทำร้ายเจียนตาย จนกัปตันมาร์เวลต้องพาไปให้พ่อมดชาแซมช่วยรักษา
ซึ่งพ่อมดเฒ่าก็ใช้วิธีมอบพลังวิเศษให้เฟรดดี้ และเมื่อเฟรดดี้เอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ ”ชาแซม”
เฟรดดี้ก็จะกลายเป็นกัปตันมาร์เวลจูเนียร์ ที่มีพลังเหมือนกัปตันมาร์เวล แต่น้อยกว่า

และในปลายปีนั้น แมรี่ มาร์เวล ผู้เป็นเสมือนกัปตันมาร์เวลหญิงก็ปรากฏตัวขึ้น
ตัวจริงของเธอก็คือคือแมรี่ แบ็ตสัน น้องสาวฝาแฝดของบิลลี่ แบ็ตสัน ที่หายสาปสูญไปนานแล้ว
ซึ่งพบว่าคำศักดิ์สิทธิ์ ”ชาแซม” ก็มีผลกับเธอด้วย เพราะมันทำให้เธอกลายเป็นแมรี่ มาร์เวล
ตรงนี้ขอแทรกนิดว่าคำย่อของแมรี่มาร์เวลแตกต่างจากของกัปตันมาร์เวล
โดยย่อมาจากชื่อต่างๆดังนี้
ความสง่างามแห่งเซลีน่า (Selena)
กำลังแห่งฮิปโปลีต้า (Hippolyta)
ฝีมือของแอรีแอดเน่ (Ariadne)
ความว่องไวของเซไฟรอัส (Zephryus)
ความสวยงามของออโรร่า (Aurora)
ปัญญาแห่งมิเนอร์ว่า (Minerva)

ความรู้สึกเป็นครอบครัวมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เมื่อมีตัวละครอย่าง คุณลุงมาร์เวล (Uncle Marvel) ออกมา
เพียงแต่เขาคนนี้ไม่มีพลังวิเศษ แต่เป็นอาชญากรที่บังเอิญรู้ความลับของพวกมาร์เวล
จากบันทึกของแมรี่ แบ็ตสัน แล้วคิดจะแสวงหาประโยชน์
แต่ต่อมาก็กลายเป็นพวกเดียวกับพวกมาร์เวลไปด้วย
นี่ยังไม่นับกัปตันมาร์เวลอ้วน, กัปตันมาร์เวลผอม และกัปตันมาร์เวลลูกทุ่ง
ที่ล้วนแต่เป็นเด็กชายที่ชื่อ บิลลี่ แบ็ตสัน ที่เมื่อเอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็กลายร่างได้ทั้งนั้น

ความสำเร็จของครอบครัวมาร์เวล (Marvel Family) ถูกลอกเลียนแบบ
โดยซุปเปอร์แมน และแบทแมน ในเวลาต่อมา
ที่มีตัวละครอย่างซูเปอร์บอย, ซูเปอร์เกิร์ล, แบทเกิร์ล, แบทวูแมน

มีบางช่วงที่เรื่องนี้ขายดีกว่าซูเปอร์แมนและแบทแมนรวมกันด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นก็นำไปสู่คดีความในที่สุด เมื่อทางดีซียื่นฟ้องร้องทางฟอว์เซ็ท ว่าสร้างสรรค์ตัวละครตัวนี้
โดยการลอกแบบมาจากซูเปอร์แมน ซึ่งถ้าจะว่าไปตามตรงแล้ว
นอกจากพลังบางอย่างที่ใกล้เคียงกันแล้ว ตัวละครสองตัวนี้ไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย
ทำให้ในช่วงแรกคดีนี้จบลงด้วยชัยชนะของฟอว์เซ็ทท์เ มื่อศาลเองมองไม่ออก
ว่าสองเรื่องนี้เหมือนกันตรงไหน ในการพิพากษาเมื่อปี 1948
แต่ทางดีซีก็ขออุทธรณ์ในปื 1951 และผลก็คือทางดีซีชนะคดีในปี 1958
เรื่องจึงไปลงเอยด้วยการตกลงกันนอกศาล โดยทางฟอว์เซ็ตต์ที่ขณะนั้นยอดขายตกต่ำลงมาก
ยอมจ่ายให้ทางดีซีเป็นเงิน 400,000 ดอลลาร์ และสัญญาจะไม่ตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้อีก

ในปี 1967 มาร์เวลคอมิคส์ถือกำเนิดขึ้นมาและกำลังเติบโต
และรู้ว่าชื่อ ”กัปตันมาร์เวล” นั้นว่างอยู่และไม่มีใครใช้
จึงรีบออกตัวละครที่ใช้ชื่อนี้ออกมาเพื่อจองสิทธิ์ในชื่อนี้
เรื่องราวยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อในปี 1972 ทางดีซีคอมิคส์ซื้อสิทธิ์ในตัวละคร
ของสำนักพิมพ์ฟอว์เซทท์มาเป็นของตัวเอง แต่ชื่อกัปตันมาร์เวลล์ก็ไม่อาจเอามาใช้ได้อีกแล้ว
จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นชาแซม

กัปตันมาร์เวลเป็นตัวละครที่อยู่ในใจของเด็กมากมายอาจเป็นเพราะความเรียบง่าย
และความรู้สึกที่เด็กๆ คนอ่านรู้สึกว่าเขาเองก็เป็น กัปตันมาร์เวลไ ด้ก็เลยประทับใจในตัวละครคัวนี้
เพราะสิ่งที่คุณต้องการก็แค่คำศักดิ์สิทธิ์ (คุณจะเป็นซูเปอร์แมนคุณต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว
และถ้าจะเป็นแบทแมนคุณก็ต้องเป็นมหาเศรษฐีและทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานนี้)
สิ่งนี้น่าจะทำใก้กัปตันมาร์เวลล์เป็นตัวละครอมตะ และอยู่ในใจของเด็กหลายๆ คน
รวมทั้งอเล็กซ์ รอสส์ (ที่รู้จักตัวละครตัวนี้จากหนังชุดทางโทรทัศน์ในยุค 70
ซึ่งเคยมาฉายทางเมืองไทยด้วย ผมเองก็เคยดู แต่จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่)

อเล็กซ์ รอสส์ประทับใจในตัวละครตัวนี้มาก และพยายามผลักดันโปรเจคท์ของตัวละครตัวนี้
หลายครั้งแล้วแต่ยังไม่สำเร็จสักที จนกระทั้งถึงเรื่องนี้ที่เป็นเหมือนภาพสะท้อน
ของสิ่งที่อยู่ในใจของเด็กๆ ทุกคน และรอสส์เองก็ยอมรับว่าในงานชุดนี้ทั้งหมด
ภาพที่เขาวาดแล้วพอใจที่สุดก็คือภาพหน้าคู่ ที่เป็นคู่สุดท้ายของเรื่องนั้น
เป็นภาพที่เขาประทับใจที่สุด

Shazam! : Power of Hope
เรื่อง: Paul Dini
ภาพ: Alex Ross
ตีพิมพ์: 1 ธันวาคม 2000

เนื้อเรื่องในเล่มนี้ก็เป็นเหมือนเล่มอื่นๆ ในชุดนี้ที่เปิดฉากด้วยการเล่าย่อๆ ถึงจุดกำเนิดของตัวละคร
ก่อนที่จะเข้าเรื่องเล่าปฏิบัติการของกัปตันมาร์เวล
การช่วยเมืองบนเกาะภูเขาไฟที่กำลังจะจมลงใต้สายลาวา
แต่มาร์เวลเอาก้อนหินมาอุดไว้ช่วยให้เมืองรอดภัยพิบัติมาได้


แล้วเขาก็ไปปราบโจรปล้นธนาคาร ก่อนที่จะกลับไปทำงานในฐานะบิลลี่ แบ็ตสัน
เด็กหนุ่มผู้ประกาศของสถานีวิทยุ Whiz

วันเวลากำลังจะหมดไปอีกวันเหมือนอย่างเคย แต่ก่อนจะกลับบ้าน
บิลลี่ก็ถูกเรียกตัวให้ไปเอาจดหมายของกัปตันมาร์เวลไปตอบด้วยซึ่งมีมหาศาล

คืนนั้นของบิลลี่ผ่านไปอย่างน่าเบื่อ จดหมายมากมายเนื้อหาซ้ำๆ กัน
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทำนองเดียวกันอยากให้กัปตันมาร์เวลทำนั่นทำนี่ให้
แต่มีฉบับหนึ่งที่ต่างออกไป

มันเป็นจดหมายขอให้กัปตันมาร์เวลมาเยี่ยมเด็กๆ ในโรงพยาบาลเด็กประจำเมือง
จากหมอของโรงพยาบาล ดร. มิลเลอร์ ตอนแรกบิลลี่เกือบจะมองข้ามจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว
แต่เมื่อเห็นภาพวาดในจดหมายเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้แม้กำลังเหนื่อยอ่อน

แล้วเขาก็เอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ออกมา “ชาแซม”
เพื่อแปลงร่างเป็นกัปตันมาร์เวล แล้วไปพบพ่อมดเฒ่าที่ศิลาแห่งนิรันดร์ เพื่อขอคำแนะนำ
พ่อมดเฒ่ารับรู้เรื่องราวของเขาก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก

และบอกเขาว่ากัปตันมาร์เวลมีความรับผิดชอบต่อผู้ที่มุ่งหวังในความหวังที่เกิดจากความประทับใจ
และเชื่อในตัวเขา ซึ่งก็คือเด็ก และจะมีเด็กคนหนึ่ง ที่ในความสิ้นหวังของเขา
จะทำให้มาร์เวลซาบซึ้งและเข้าใจในอำนาจและความรับผิดชอบของตัวเอง

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อบิลลี่ไปถึงโรงพยาบาล เขาก็ต้องพึ่งพลังของกัปตันมาร์เวลในทันที
เมื่อเด็กคนหนึ่งเกือบจะถูกรถชน การปรากฏตัวของกัปตันมาร์เวลสร้างความยินดีให้กับเกือบทุกคน
ยกเว้นแต่เด็กคนหนึ่ง ที่มีท่าทีเฉยเมยต่อการมาถึงของเขา

ภายในโรงพยาบาลเด็กๆ ต่างยินดีที่ได้เห็นกัปตันมาร์เวล เด็กต่างก็ร้องขออยากไปกับมาร์เวล
ในการผจญภัยของเขา มาร์เวลจึงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้พวกเด็กๆ ฟัง
ซึ่งก็ไม่ยากเกินจินตนาการของพวกเขา

ยกเว้นแต่เด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กหญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจนดวงตาเสียหาย
แต่มีหมอไม่กี่คนที่รักษาให้เธอได้ มีหมอคนหนึ่งในญี่ปุ่นยินดีจะรักษาเธอให้
แต่ปัญหาคือเด็กหญิงไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไกลอย่างนั้นได้
มาร์เวลจึงไปพาหมอมาจากญี่ปุ่นให้แทน

แล้วมาร์เวลก็ตัดสินใจจะสละเวลาทั้งวันนั้นให้กับพวกเด็กๆ
เขาพาเหล่าเด็กๆ ที่ป่วยไข้ออกทัศนศึกษา พวกเด็กๆ ตื่นเต้นยินดีกันมาก
เหตุการณ์คงเรียบร้อยดี ถ้าไม่เกิดเรื่อง

เมื่อมาร์เวลนำเด็กกลุ่มหนึ่งไปเที่ยวเขื่อนใกล้เหมืองร้าง
มีคนลักลอบเข้าไปในเหมืองร้างแล้วระเบิด เปิดเหมืองเพื่อเอาสินแร่ที่ยังเหลืออยู่ในเหมืองออกไป
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่การระเบิดนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนไปสู่เขื่อนทำให้เขื่อนร้าว

กัปตันมาร์เวลพาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วพยายามไปอุดเขื่อน
เพื่อป้องกันไม่ให้เขื่อนพัง แล้วพยายามไปจับพวกลักลอบ
แต่พวกนั้นขัดขืนและพยายามต่อสู้กับมาร์เวล

หนึ่งในพวกนั้นจุดชนวนระเบิดที่ยังเหลือ
ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนหินที่มาร์เวลเอาไปอุดเขื่อนไว้หลุดออกมาทำให้เขื่อนพัง
น้ำไหลออกมาจนไปถึงจุดที่มาร์เวลเอารถที่เด็กๆ โดยสารมาไปวางไว้
ทำให้พวกเด็กๆ ตกอยู่ในอันตราย แต่มาร์เวลก็ไปช่วยพวกเขาได้สำเร็จ

หลังเหตุการณ์ แม้ว่ากัปตันมาร์เวลจะเสียใจที่ทำให้พวกเด็กๆ ตกอยู่ในอันตราย
แต่พวกเด็กๆ ไม่มีท่าทีจะเสียใจเลย พวกเขากลับตื่นเต้นยินดีที่ได้ร่วมการผจญภัย
แต่มาร์เวลคิดจะทำให้การมาเยือนของเขาจบลงก่อนที่จะมีเด็กตกอยู่ในอันตราย
จน ดร.มิลเลอร์มาบอกเขาว่าการมาเยือนของเขาทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ห่วงใย
อบอุ่นและมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว นั่นทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

แล้วกัปตันมาร์เวล ก็หันมาให้ความสนใจกับเด็กที่ไม่สนใจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขา
เด็กชายคนนั้นตามคำบอกเล่าของ ดร.มิลเลอร์ก็คือ บ๊อบบี้ บรอนสกี้
เขามาเข้าโรงพยาบาลเพราะบาดเจ็บจากการล้มที่ใต้ถุนบ้านตามปากคำที่พ่อเขาให้กับทางการ
และบ๊อบบี้ก็ไม่พูดอะไรที่ขัดแย้งกับคำให้การของพ่อ

เมื่อมาร์เวลเข้าไปพูดคุยกับบ๊อบบี้ เขาก็พบว่าบิลลี่มีอาการหวาดกลัวเมื่อเขาแตะตัว
และไม่ยอมพูดจากับเขา มาร์เวลรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องใช้ บิลลี่ แบ็ตสันแล้ว

เมื่อบิลลี่ เข้าไปพูดคุยเรื่องเบสบอลกับบิลลี่ เขาก็มีท่าทีดีขึ้น แต่ก็ไม่ยอมบอกความจริงกับบิลลี่
ในที่สุดเขาก็ถามบิลลี่ว่าพ่อของบิลลี่โกรธบิลลี่อยู่เสมอหรือเปล่า บิลลี่ก็เข้าใจได้ทันที
เขาตัดสินใจจะไปเยี่ยมพ่อของบ๊อบบี้สักหน่อย

ที่บ้านของบ๊อบบี้พ่อของเขาไม่ยินดีต้อนรับบิลลี่ และขู่จะทำร้ายเขา และปิดประตูใส่หน้าบิลลี่
คราวนี้ก็ถึงเวลาที่กัปตันมาร์เวลออกโรงบ้าง  และเมื่อพ่อของบ๊อบบี้เปิดประตู
ก็ต้องประหลาดใจสุดๆ เมื่อเจอกับกัปตันมาร์เวล

มาร์เวลเตือนเขาว่าบ๊อบบี้เป็นเพื่อนของเขา
และถ้าเขายังถูกพ่อทำร้ายอีก กัปตันมาร์เวลจะมาพบกับเขาอีก
บิลลี่เชื่อแน่ว่าหลังจากนี้แล้ว มร.บรอนสกี้จะไม่ทำร้ายบ๊อบบี้อีกแน่

หลังจากนั้นกัปตันมาร์เวลก็กลับไปโรงพยาบาล ดร.มิลเลอร์พามาร์เวลไปเยี่ยมเด็กๆ
ในแผนกคนไข้หนัก ที่นี่เด็กๆ ก็ยินดีที่ได้เจอเขาเช่นกัน
แม้พวกเขาจะเจ็บปวดและหลายคนคงไม่มีโอกาสหาย
แต่เมื่อพวกเด็กๆ มองดูมาร์เวลในตาของพวกเด็กๆ ก็เปี่ยมด้วยความหวัง
และเมื่อเขาได้พบกับเด็กน้อยทาบิธ่า เด็กหญิงที่ใกล้ตาย เธอก็ยิ้มได้ด้วยความสุข
และสิ้นใจไปทั้งๆ ที่เขากุมมือเธอไว้

วันนั้นกำลังจะจบลง มาร์เวลจากโรงพยาบาลมาพร้อมกับคำสัญญาว่าจะกลับมาอีก
แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยคำถาม และต้องหวนกลับไปที่ศิลาแห่งนิรันดร์อีกครั้ง
เพื่อปรึกษากับพ่อมดเฒ่าชาแซม

ที่นั่นพ่อมดเฒ่าได้อธิบายให้ฟังว่าตั้งแต่มอบพลังนี้ให้บิลลี่ เขาก็รู้ว่านั่นเป็นภาระที่ใหญ่หลวง
และบิลลี่จะต้องเรียนรู้ว่ามีบางสิ่ง แม้แต่พลังของกัปตันมาร์เวลก็ไม่อาจเอาชนะได้
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่มาร์เวลเป็นตัวแทนในสายตาของผู้เยาว์
ที่มีความเชื่อมั่นที่สุดในตัวของเขา และมีความหวังขึ้นเมื่อเห็นเขา
และนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมาร์เวล เป็นตัวแทนแห่งความหวัง
และให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ต้องการ

บัดนี้บิลลี่เข้าใจแล้วว่าเขามีภาระหน้าที่อะไร

หลังจากนั้นเขาก็ไปเยี่ยมเพื่อนใหม่บ๊อบบี้ที่บ้าน
ผู้ซึ่งก็ยังคงต้องการเพื่อนและความหวัง ซึ่งบิลลี่ แบ็ตสันสามารถให้กับบ๊อบบี้ได้

แล้วตอนหน้ามาพบกับสตรีอันดับหนึ่งแห่งวงการการ์ตูนอเมริกัน

โดย:

4 thoughts on “Shazam : Power of Hope

  1. silversmoke

    สุดยอดครับ ผมหลงไหลการตูนอเมริกันมานานแล้ว โดยเฉพาะ alex ross(เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพผมเลยก็ว่าได้) จะคอยสนับสนุนนะครับ

  2. Pingback: โฉมแรก Captain Marvel หรือ ชาาาาาาแซมมมม! ใน New 52 | COMICS66 – Thailand Comics Reader Blog

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *